เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๕ ม.ค. ๒๕๕๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ เห็นไหม วันพระ วันโกน เราจะเตรียมตัวเพื่อทำบุญกุศลกัน ทำบุญกุศลเพื่อรักษาใจเรา สิ่งใดจะประเสริฐขนาดไหน ถ้ายังมีความรู้สึกนึกคิดของเราอยู่ ยังมีชีวิตอยู่ เราจะมีโอกาสแก้ไขในชีวิตของเรา ถ้าเรามีโอกาสแก้ไขในชีวิตของเรา เราเกิดมาเป็นชาวพุทธพบพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนถึงต้นเหตุ ต้นเหตุคือใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน

ใจเป็นใหญ่ เห็นไหม เกิดเพราะมีปฏิสนธิจิตถึงเกิดมาเป็นเรา พอเกิดเป็นเรามันมีหน้าที่ หน้าที่ของความเป็นมนุษย์ หน้าที่ของความเป็นเทวดา หน้าที่ของการเป็นเทวดา อินทร์ พรหม หน้าที่ของเขา เขาเกิดภพชาติใด เราเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราอยู่ในสังคม สังคมต้องมีการกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา การกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดาเพราะอะไร เพราะคนเราทุกข์ คนมีความรู้สึกนึกคิด เพราะความรู้สึกนึกคิดของคนมันไม่เหมือนกัน ถ้าความรู้สึกนึกคิดของคนไม่เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบัญญัติศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล ต้องมีความรู้สึกเป็นปกติของใจ ถ้ามีศีลเราจะไม่ก้าวล่วงขอบรั้วความรู้สึกนึกคิดของเรา ความรู้สึกนึกคิดมันคุมไม่ได้นะ สิ่งที่ความรู้สึกนึกคิดมันคุมไม่ได้เพราะอะไร เพราะว่ามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากเป็นตัวขับดัน กิเลสตัณหาความทะยานอยากเป็นตัวขับดัน นี่สิ่งนี้เวลามันเกิดผลกระทบแล้วมันจะรุนแรง แต่ถ้าเรามีศีลเป็นความปกติของใจ เราฝึกฝนของเรา สิ่งใดจะเกิดขึ้น สิ่งใดเกิดขึ้นเราก็มีสติปัญญา มีสติปัญญารักษาสิ่งนี้ไว้ เพราะสิ่งนี้ถ้าเกิดขึ้นแล้ว ทำสิ่งใดมีความสะใจไปแล้วมันเกิดบุญกุศล เกิดบาปอกุศล

นี่การทำคุณงามความดี เห็นไหม เราปรารถนาดีสิ่งใด เราทำคุณงามความดีเพื่อเรา แต่ถ้าเรามีความขัดข้องหมองใจสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นความไม่พอใจของเรา เราทำสิ่งใดไปสมความปรารถนาของเรา สมความอยากของเรา แต่มันเกิดเวรเกิดกรรม เกิดเวรเกิดกรรมสิ่งนี้นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นตรงนี้เป็นรากฐาน ถ้าตรงนี้เป็นรากฐาน มันถึงเป็นจริตเป็นนิสัย คนเราถึงมีความรู้สึกนึกคิดไม่เหมือนกัน คนเรามีความรู้สึกนึกคิดไม่เหมือนกันเพราะมันบ่มเพาะมาแตกต่างกัน พอบ่มเพาะมาแตกต่างกัน แต่มันมีความทับซ้อนไปเรื่องของบุญของบาป

เรื่องของบุญของบาป เห็นไหม ใครทำบุญกุศลเป็นครั้งเป็นคราวขึ้นมา เขาจะเกิดในสถานะที่มีอำนาจวาสนา แต่ในเมื่อจิตใจของเขาฝึกมาอย่างนั้น คนที่มีอำนาจวาสนา เกิดมามั่งมีศรีสุข แต่ความรู้สึกนึกคิดของเขา คนที่เกิดมามั่งมีศรีสุข แต่มีบุญกุศลแล้วทำคุณงามความดีของเขา มันจะเป็นประโยชน์กับเขาด้วย เป็นประโยชน์กับโลกด้วย คนเราจะจิตใจที่ได้บ่มเพาะมาในทางที่บาปอกุศล เกิดมามีสถานะเพราะเขาเคยทำบุญของเขามาเหมือนกัน เขาเกิดสถานะที่มีอำนาจวาสนาของเขา เขาได้ทำลายไง ทำลายคน ทำลายทุกๆ อย่าง ทำลายสังคม

นี่มันทับซ้อนมา ทับซ้อนมาจากความรู้สึกนึกคิดของเขาอันหนึ่ง แล้วอำนาจวาสนาของเขาที่เขาสร้างมานี่อีกอันหนึ่ง แล้วเราเกิดมาแล้ว คนก็ปรารถนาคุณงามความดี ปรารถนาคุณงามความดีเพื่อความสงบระงับในใจของเรา เรามองไปในสังคม สังคมทับซ้อนกัน สังคมทับซ้อนกับชีวิตของเรา สังคมเกิดจากมนุษย์นี่แหละ มนุษย์มีจำนวนมากขึ้น มันก็มีเป็นสังคม เป็นกระแสสังคมขึ้นมา ถ้าสังคมขึ้นมา นี่ความเชื่อถือสิ่งต่างๆ ก็คล้อยตามกันไป แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เรามีสติปัญญาของเรา เราก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั่นแหละ

ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าอยู่ในโลกโดยไม่ติดโลก อยู่ในโลก เห็นไหม เราอยู่ในโลกนี่แหละ แต่เราไม่ทุกข์ยากไปกับเขา นี่เราเห็นนะ ถ้าคนมีสติปัญญาเห็นแล้วมันสังเวชนะ นี่ธรรมสังเวช คำว่า “ธรรมสังเวช” เห็นแล้วมันสะเทือนใจไง เห็นสิ่งใดที่เกิดขึ้น เราแก้ไขสิ่งนั้นไม่ได้ เราแก้ไขสิ่งนั้นไม่ได้เพราะมันอยู่นอกอำนาจการควบคุมของเรา มันอยู่นอกอำนาจการควบคุมของเรานะ ถ้าอยู่นอกอำนาจการควบคุมของเรา จิตใจเราจะฟู จิตใจเราจะแฟบไหม จิตใจเราจะมีการกระทบกระเทือนไหม? มี จิตใจเรามีอยู่แล้ว แต่เราแก้ไขสิ่งนั้นไม่ได้ แก้ไขสิ่งนั้นไม่ได้

โลกนี้เป็นอนิจจัง อนิจจังมันแปรสภาพของมันไปตลอดเวลา เราเห็นสภาพของสังคมนี่เราแก้ไขสิ่งนั้นไม่ได้ แต่เราแก้ไขใจเราได้ไง ถ้าเราแก้ไขใจเราได้ คนที่เห็นสภาพสังคมเหมือนกัน คนหนึ่งแบกรับสังคมทุกข์ยากไปกับเขา มีความสะเทือนใจ มีความเศร้าสร้อยหงอยเหงาไปกับเขา คนหนึ่งนะมันก็มีความสะเทือนใจเหมือนกัน แต่มันธรรมสังเวชไง มันสังเวช สังเวชว่านี่มันเป็นเวรเป็นกรรมของสัตว์ สัตว์โลกมันสร้างมาแบบนั้น มันเป็นเวรเป็นกรรม เราก็เป็นสัตว์ตัวหนึ่ง เราก็อยู่ในสังคมนี่แหละ นี่เราก็ย้อนกลับมา เห็นแล้วมันจะย้อนกลับไปที่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราก็ทำคุณงามความดีของเรามาเหมือนกัน เราถึงเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่ทำไมเรามาอยู่ในสังคมแบบนี้ล่ะ

สังคมแบบนี้มันสภาคกรรม กรรมที่เกิดสภาวะแบบนี้เราก็มีคุณงามความดีของเรา มีสติปัญญาของเรา ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา มันสะเทือนใจ สะเทือนใจทั้งนั้นแหละ ในเมื่อมันมีความกระทบกระเทือนกันมันถึงได้มีความรู้สึก แต่ความรู้สึกอันหนึ่ง ความรู้สึกเป็นความสะใจ ความรู้สึกเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ ความรู้สึกเป็นความทุกข์ อย่างของเรามีความรู้สึกอันหนึ่งมันสะเทือนใจเหมือนกัน สะเทือนใจให้เรามีสติปัญญา มันสะเทือนใจให้หัวใจนี้สั่นไหวไง ถ้าหัวใจสั่นไหวเราจะหาทางออกอย่างใด เราจะหาทางออกอย่างใด

ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด คนที่สะเทือนใจในความทุกข์ยากก็ต้องตายไปเหมือนกัน คนที่สะเทือนใจแล้วมันเป็นธรรมสังเวชมันก็ต้องตายไปเหมือนกัน ทุกคนต้องตายไปเหมือนกัน แต่ตายไปจะมีสิ่งใดตกผลึกในหัวใจไปล่ะ ถ้ามีสิ่งใดตกผลึกไปในหัวใจ คุณงามความดีมันตกผลึกในหัวใจไป

ใจดวงนั้น ถึงเราจะต้องเดินทาง นี่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นคน จิตนี้ไม่เคยตาย เวียนตายเวียนเกิดทุกคนต้องเดินทางเหมือนกัน จิตนี้ต้องเดินทางเหมือนกัน จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว ท่องเที่ยวในวัฏฏะ มันต้องเวียนตายเวียนเกิดไปเหมือนกัน แต่ไปเหมือนกันโดยที่คนที่พร้อมไปที่จะเดินทาง คนที่มีความสะใจ คนที่ช่วยตัวเองไม่ได้มันก็เวียนไป เหมือนกับฝุ่น เห็นไหม ดูสิลมพัดไปมันไปตามกระแสของลม แต่สิ่งใดถ้าเราเป็นฝุ่นเหมือนกัน เราก็เป็นฝุ่นเหมือนกัน แต่เรามีพื้นที่เกาะ เรามีพื้นที่หลบลมหลบต่างๆ เราอยู่กับที่ของเรา

นี่มันต้องเดินทางเหมือนกัน จิตนี้ต้องเดินทางเหมือนกัน แต่เดินทางด้วยธรรมสังเวช เดินทางด้วยบุญกุศล เดินทางด้วยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันสะเทือนใจมันจะย้อนกลับมาที่นี่ไง มันย้อนกลับมาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน ก็ทุกข์ยากมาเหมือนกัน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะออกบวช เห็นไหม นี่ในเมื่อราชกุมารเกิดแล้วละล้าละลัง คนเป็นพ่อ คนเป็นพ่อมันก็มีความผูกพันเป็นธรรมดา ถ้าคนเป็นพ่อมีความผูกพันเป็นธรรมดา คนต้องพลัดพรากไปโดยที่ยังไม่เห็นหน้าลูกเลย ต้องไปๆ ไปเพราะอะไร เพราะเข้าไปไม่ได้ เข้าไปแล้วมันจะไม่มีโอกาสไป มันจะยึดมั่นถือมั่นในสังคมนั้นไง ต้องเสียสละไป ความเสียสละไปนี่ละล้าละลังไหม

คนเราไปข้างหน้ายังไม่รู้จะไปเจอสิ่งใดเลย เพราะจะไปแสวงหาโมกขธรรม แล้วนี่ไปแสวงหาอยู่ ๖ ปี ความผูกพันของใจมันต้องสลัดให้ได้หมด เพราะใจมันต้องทำใจเข้ามาให้เป็นสัมมาสมาธิ ทำใจให้ตั้งมั่นโดยไม่เกาะเกี่ยวกับสิ่งใด แล้วค้นคว้าในใจของตัวเอง เห็นไหม

แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน ก็ได้รับผลกระทบมาเหมือนกัน แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยายามแสวงหาทางออก เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมา สร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ เวลาบุพเพนิวาสานุสติญาณย้อนอดีตชาติไป ตั้งแต่พระเวสสันดรไปได้สร้างอะไรมาบ้าง นี่ทำคุณงามความดีมาไง แล้วเรานี่เราว่าเราได้ทำคุณงามความดีมาไหม เราก็ต้องได้ทำคุณงามความดีของเรามา ถ้าไม่ได้ทำคุณงามความดีของเรามา เราไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์หรอก

เพราะจิตมันเกิดตลอดเวลา จิตเป็นนักท่องเที่ยว มันเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ มันเกิดของมันตามแต่อำนาจวาสนาของเขา ในเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน ยังมีอำนาจวาสนา ยังมีความรู้สึกนึกคิดไม่เท่ากัน มันทุกข์นี่มันทุกข์ตรงนี้ สังคมมันวุ่นวายวุ่นวายตรงนี้ ความวุ่นวายเพราะความรู้สึกนึกคิดคนไม่เหมือนกัน ความรู้สึกคนไม่เหมือนกันมันก็แล้วแต่ ถ้าคนมีทิฏฐิมานะมากเขาก็มีเล่ห์กลของเขา

คำว่าเล่ห์กลของเขา มันเกิดมาจากเขาทำสิ่งใดมา เขาก็สร้างเวรสร้างกรรมของเขาต่อไป แต่เราทำหน้าที่การงานเหมือนกัน คนเราเวลาปัจจัย ๔ เครื่องอาศัยก็ใช้เหมือนกันนี่แหละ แต่คนใช้ด้วยความประหยัดมัธยัสถ์ ใช้ด้วยมีสติปัญญา กับคนใช้ด้วยความสะเพร่า คนใช้ด้วยความฟุ่มเฟือย นี่เราหาเงินมาด้วยกัน คนทำงานมาด้วยกัน เงินเดือนออกเท่ากัน บางคนพอใช้ ทำไมบางคนไม่พอใช้ ไม่พอใช้เพราะเหตุใดล่ะ เพราะเขาใช้ฟุ่มเฟือยของเขา เขาใช้โดยไม่มีสติปัญญาของเขา บางคนมันใช้สอยแล้วยังมีเหลือออมของเขาอีก เพราะอะไร เพราะเขารู้จักประหยัดมัธยัสถ์ของเขา

แล้วเขาบอก “คนประหยัดมัธยัสถ์ คนนั้นเขาไม่ได้ใช้ชีวิตแบบเรา เขาไม่มีความสุขเหมือนเรา” มีความสุขเหมือนเรา แล้วในหัวใจมันวิตกกังวลขนาดไหนล่ะ คนที่เขารู้จักประหยัดมัธยัสถ์ของเขา เขามีเหลือออมของเขา จิตใจของเขาสุขสบายของเขา นี่ความสบายของคนสบายตรงไหนล่ะ มันความสบายตรงไหน

นี้ถ้าเรามีสติปัญญา เห็นไหม นี่วันพระ ถ้าวันพระขึ้นมา ถ้าเรามองสังคมแล้วมันสะเทือนเข้ามาใจเรา ถ้าสะเทือนเข้ามาใจเรา มันจะย้อนกลับไปถึงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เราเป็นอุบาสก อุบาสิกาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้ เราก็ว่าเราเป็นชาวพุทธๆ...ชาวพุทธทะเบียนบ้าน ชาวพุทธที่มีสิทธิ แต่ถ้าเราสะเทือนของเรา เราจะศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราระลึกรู้มีสติขึ้นมา ทุกอย่างมันก็สงบระงับหมด ถ้าเราฝึกฝนของเรา รักษาใจเรา

ที่ว่าสิ่งที่เป็นทิพย์ๆ เป็นทิพย์คือสติปัญญามันเกิดขึ้นมาในใจเรา มันยับยั้งใจเราได้นะ ถ้ายับยั้งใจเราได้ อะไรจะมีคุณค่ากับสิ่งนี้ล่ะ นี่ทางโลกที่เขาพัฒนากันเพื่ออะไรล่ะ มีศีลธรรมจริยธรรม ประเพณีวัฒนธรรมต่างๆ เขาพัฒนาเพื่อให้คนมีศีลธรรม เพื่อให้คนมีความรู้สึกนึกคิด ให้คนมีสำนึกที่ดี สังคมจะได้มีความร่มเย็นเป็นสุข นี่เขาลงทุนลงกันขนาดนั้น แล้วเรานี่เราทำของเราแล้ว เราทำตามเนื้อหาสาระของเราเลย เราไม่ต้องให้ใครมาชักนำให้เราไปทำอย่างนั้น ทำอย่างนั้นมันทำเป็นประเพณี ทำเป็นประเพณีๆ คือทำเป็นพิธีให้มันเป็นเหมือนพวงมาลัยที่ร้อยไว้ อยู่ในพวงมาลัยนั้นให้มันสวยงามเท่านั้นเอง

นี่สังคมให้ดูแต่รูปแบบ รูปลักษณ์ภายนอกว่ามีความสงบระงับ แต่ในใจมันเป็นจริงหรือเปล่าล่ะ ในใจมันมีความสงบระงับไหม นั่งอยู่เฉยๆ ใจมันเต้นโครมครามในหัวใจ แต่เราทำของเราเลย เราตั้งสติของเราเลย เรามีสติปัญญาของเรา ถ้าเราทันตัวเราเอง เราก็ไม่ให้จิตใจเราร้อนเกินไปนัก เราเห็นคุณค่าของมันแล้ว แล้วถ้าเรากำหนดลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ เราดูแลรักษาใจของเรา

ถ้าใจเรามันเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม นี่ที่ว่าเวลาเราสะเทือนใจ เราย้อนกลับมา ย้อนกลับมาสิ่งที่ทำความเป็นจริงของเรา สิ่งนี้มันเป็นตัวอย่างว่าเราเกิดมาเป็นเหยื่อของโลก เราต้องใช้ชีวิตหมดไป เราจะแสวงหาเหยื่อด้วย เพราะเราต้องทำคุณงามความดีของเรา ตัวเราเป็นเหยื่อด้วย แต่นี้เราจะเอาเป็นความจริง เราไม่เป็นเหยื่อ เราจะเอาความจริง เราก็ตั้งสติของเรา เราภาวนาของเรา

นี่วันพระๆ เราไปกราบพระ พระในบ้าน พระนอกบ้าน พระในบ้านคือพ่อแม่ของเรา แล้วพระนอกบ้าน พระนอกบ้านก็พระอยู่ที่วัด แล้วพระในใจของเราล่ะ แล้วพระในใจของเรา เห็นไหม พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานเราก็เป็นพระได้ เวลาปฏิบัติขึ้นมา ดูสินางวิสาขาเป็นพระโสดาบันๆ นี่ไม่ได้บวชด้วย เป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันมันเป็นอริยสงฆ์ในหัวใจไง ถ้าเรารักษาที่นี่ เราทำของเราที่นี่ มันจะเป็นประโยชน์กับเราที่นี่ ถ้าเป็นประโยชน์กับเราที่นี่ มันเป็นประโยชน์กับเรา นี่มันเป็นผลประโยชน์กับเราเองนะ เราทำบุญกุศลมันก็เป็นผลประโยชน์กับเรา “ผลประโยชน์ตรงไหน มีแต่เสียสละไปๆ”

เสียสละไปนี่มันเป็นวัตถุ แต่ค่าของน้ำใจ น้ำใจมันได้กระทำของมัน

ของที่มันหมักหมม ดูสิน้ำเสียเขาต้องรีไซเคิลมัน เพื่อทำให้น้ำสะอาด จิตใจของเรามันสะอาดไหม จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส แต่มันโดนปกคลุมไปด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากคืออะไร? ก็ความรู้สึกนึกคิดเรานั่นแหละ คือความอุปาทานของเรานั่นแหละ ความหลงในตัวเรานั่นแหละ แล้วรีไซเคิล เราจะทำความสะอาดของมัน

เราเสียสละของเราเพื่อให้มีโอกาส มีโอกาสนะ จิตใจ เห็นไหม น้ำถ้ามันโดนจอกแหนปิดไว้เราจะไม่เห็นน้ำเลย นี่ก็เหมือนกัน จิตใจเราอยู่กับเรา เราไม่ได้ทำสิ่งใด ให้มันแสดงตัวออกมาเลย แต่เราเสียสละขึ้นมา เสียสละ นี่ความรู้สึกมันคัดค้าน มันคัดค้าน มันโต้แย้ง นี่เราจะทำของเรา นี่มันจะเปิดจอกแหนอีกแล้ว แล้วถ้าเปิดจอกแหน เราจะเห็นน้ำของเรา

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเราที่มันรู้สึกนึก สิ่งที่เป็นวัตถุๆ เราเสียสละไป แล้วเราได้อะไรขึ้นมาล่ะ? ก็ได้ความโต้แย้งที่มันจะแหวกจอกแหน แหวกความรู้สึกนึกคิดเข้าไปไปสู่น้ำใจของเราไง ถ้าน้ำใจของเรา น้ำอมตะธรรม ถ้าเราเห็นของเรา เห็นน้ำของเราแล้วมันโต้แย้งกันมันมีโอกาสไง แต่คนที่เขาไม่สนใจอะไรเลย เขาไม่เห็นน้ำของเขา เขาไม่เห็นความรู้สึกนึกคิดของเขา เขาเห็นแต่ตัณหาความทะยานอยากไง มีแต่ความคิดต่างๆ ที่มันสะสมมา เพราะว่ามันได้ผลประโยชน์ๆ นั่นน่ะ

นั่นเป็นเรื่องโลกๆ นะ นี่ถ้าทำของเราได้ แล้วถ้าพูดถึงเราจะภาวนาของเรา บำเพ็ญตบะธรรม เราไม่ต้องเสียสิ่งใดเลย เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมาแล้วไม่ต้องเสียสละอะไรเลย เสียสละความสะดวกสบายของเรานิดหน่อยเท่านั้นแหละ ดูสินั่งสมาธิ ภาวนา นี่เดินจงกรม เท้าก้าวไปก้าวมามีสตินะ มีสติแล้วกำหนดความรู้สึกนะ เพราะเราเดินเอาความรู้สึก เอาความรู้สึกนึกคิดไว้ในอำนาจของเรา เอาจิตของเราไว้ในอำนาจของเรา

นั่งสมาธิเราก็นั่งของเรานี่แหละ กำหนดลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ แล้วใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันมีวัตถุสิ่งใดต้องเสียสละล่ะ? ไม่ต้องเลย แต่กิริยาของเรา เสียสละกิริยา บุญกิริยาวัตถุ เราอยู่โดยความสะดวกสบายต่างๆ เราเสียสละ เรามานั่งสมาธิ เรามาเดินจงกรม เราไม่ใช่ไปนอนเล่น เราจะไปเดินเพลิดเพลินอะไร เรามาเดินเอาสติควบคุมจิต เอาสติควบคุมจิตเพื่อแสวงหาของเราไง แสวงหาจิตของเราเพื่อประโยชน์กับเราไง

ถ้าประโยชน์กับเราที่นี่ เห็นไหม นี่เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมามันไม่ต้องมีวัตถุสิ่งใดมาเสียสละเลย เสียสละกิเลส เสียสละความทุกข์ สิ่งที่มันเป็นความทุกข์ในหัวใจ นี่ขับดันมันออกไป ถ้ามันจะขับดันออกไปมันต้องมีอริยมรรค มรรคความเป็นจริงของเราขึ้นมา นี่ถ้าเวลามันสลดสังเวชจากความรู้สึกนึกคิด จากความเห็นนะ มันสะเทือนใจ ถ้าสะเทือนใจ ถ้าแสวงหาเข้ามา เข้ามาสู่ธรรมๆ นี่เข้ามาสู่ข้อเท็จจริง แต่ที่เราทำเป็นประเพณีวัฒนธรรมนั้นเขาทำไว้เป็นรูปแบบ

เวลาภาวนากันก็ภาวนาเป็นรูปแบบ แค่ว่าเป็นชาวพุทธเท่านั้นแหละ แต่ถ้าเอาจริงเอาจังมันเป็นกิริยาของใจ ใจต้องเป็นไป ใจต้องมีความรู้สึกนึกคิด ใจต้องมีสติปัญญา แล้วแก้ไขใจตัวนั้นไง แล้วมันเป็นขึ้นมา เห็นไหม นี่มรรคญาณๆ ญาณหยั่งรู้ ญาณในใจของเรามันเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาได้อย่างไร อันนี้เป็นประโยชน์กับเรานะ เราแก้ไขกันที่นี่ ทำที่นี่ เราถึงจะเป็นชาวพุทธไง ชาวพุทธโดยข้อเท็จจริง ไม่ใช่ชาวพุทธที่พร่ำเพ้อกันไปนั่น ถ้าชาวพุทธตามข้อเท็จจริงมันจะเป็นประโยชน์กับเรา

เกิดมาชาตินี้พบพุทธศาสนา แล้วเราจะได้ เห็นไหม ทำบุญกุศลก็ได้เป็นสมบัติของเราไป ใครมีสติปัญญาก็ได้สติปัญญานั้นไป ใครมีสมาธิก็ได้สมาธินั้นไป แล้วถ้าใครมีปัญญาภาวนามยปัญญาเกิดขึ้น เขาจะมีคุณธรรมในหัวใจของเขานะ เป็นอกุปปธรรม ธรรมแท้ๆ ที่ไปกับใจนี้ เอวัง